บทความทางวิชาการ
การดูแลสุขภาพตนเอง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHFeH1QkcvFgKKthCyskbm75UzeYNWImgtic9HqVN8eEJ1MqRTJMEYMfpqon0VtOlnVaFr_u4GCfAnGP-iazY4O-bSk8Fiw8ibKoss6b9FYueeOsuymtD_jvAmI49AepUouMbk_AULHlI/s1600/690378gfnzj0346o.gif)
วิชาสุขศึกษาฯ
โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ
1.การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่
- การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
2.การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหลัก
๘ ประการของการดูแลรักษาสุขภาพ
๑. รับประทานอาหาร อย่างถูกต้องเหมาะสมอาหารเช้า สำคัญมากเพราะช่วงเช้าร่างกายขาดน้ำตาล ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าจะเกิดภาวะขาดน้ำตาลซึ่งจะมีผลทำให้ความคิดตื้อตันไม่ปลอดโปร่ง วิตกกังวล ใจสั่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด โมโหง่าย มื้อเช้ารับประทานได้เช้าที่สุดยิ่งดี (ระหว่างเวลา ๖.๐๐ – ๗.๐๐ น.) เพราะท้องว่างมานาน หากยังไม่มีอาหารให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำข้าวอุ่น ๆ ก่อน ควรทานข้าวต้มร้อน ๆ จะช่วยให้ง่ายต่อการขับถ่ายอุจจาระ ถ้าจำเป็นต้องรับประทาน(สาย) ใกล้อาหารมื้อ
๒. ขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ สม่ำเสมอทุกวัน
๓. ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม กับฤดูกาล เช่น หน้าหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ สวมหมวก ถุงมือ ถุงเท้าขณะนอนตอนกลางคืนควรห่มผ้าปิดถึงอก
๔. ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายกลางแจ้งทุกวัน
๕. รักษาความสะอาดของสถานที่พักอาศัย เพื่อช่วยให้สิ่งแวดล้อมดี อากาศดี
๖. รักษาอารมณ์ให้ปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดทั้งวัน และอย่าลืมนั่งสมาธิทุกวัน
๗. พักผ่อนให้เพียงพอ เหมาะสมกับเพศ และวัยไม่ควรนอนดึกเกิน ๒๒.๐๐ น. ติดต่อกันหลายวัน
๘. มีท่าทาง และอิริยาบถที่ถูกต้องเหมาะสม ในการทำงานในชีวิตประจำวัน
10 ผลไม้เพื่อหน้าสวยเปล่งปลั่ง (Woman Plus)
1. ส้ม
ส้มอุดมไปด้วยเส้นใยธรรมชาติ วิตามินซี เกลือแร่ และคอลลาเจนสูงทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น และมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้นขึ้น โดยนวดเปลือกส้มแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นนำไปทาบริเวณใบหน้า คอ และไหล่แล้วปิดทับด้วยผ้าบาง ๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เสร็จแล้วใช้ครีมบำรุงผิวตามปกติ สูตรนี้จะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้าได้มากเลยทีเดียว หรือผสมเนื้อส้ม 1 ผล กับ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย นำมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต โดยไม่ต้องปั่นระเอียดมากนัก นำส่วนผสมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก
2. แอปเปิล
แอปเปิล อุดมไปด้วยเพคตินที่ช่วยทำให้เล็บแข็งแรง ซึ่งจะมีวิตามินซีที่สามารถช่วยให้ผิวพรรณสวย เปล่งปลั่ง และยังเป็นผลไม้ที่ทานแล้วไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย โดยนำแอปเปิลไม่ปอกเปลือก 1 ผล น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นให้ละเอียดพอกให้ทั่วใบหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้งแอปเปิลจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนและลดเลือนจุดด่างดำ ส่วนน้ำผึ้งช่วยให้หน้านุ่มเนียนกระจ่างใสขึ้น
3. สตรอว์เบอร์รี
วิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี รวมถึงวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซียม แถมด้วยกรด Ascorbic acid ซึ่งสามารถช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เพียงรับประทานสตรอว์เบอร์รีสดทุกวัน ก็จะทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ ก็จะเรียบเนียนเปล่งปลั่ง ช่วยชะลอความชรา และการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร โดยนำสตรอว์เบอร์รี 3-4 ผล โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดสตรอเบอร์รีให้ละเอียด เติมโยเกิร์ต และน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาลงบนใบหน้าและลำคอที่ทำความสะอาดแล้ว ยกเว้นรอบบริเวณดวงตาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โยเกิร์ตจะช่วยสร้างความสมดุลให้ผิวในขณะที่สตรอเบอร์รีช่วยทำความสะอาดและกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพทำให้ผิวจะกระจ่างใสและสดชื่น
4. สับปะรด
อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อันได้แก่ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ผิวหนัง กินบ่อย ๆ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีอีกด้วย โดยผสมน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง น้ำสะอาดคนให้เข้ากัน พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นบริเวณปากและดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก สับปะรดช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวได้สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน A วิตามิน C สูงช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
5. ทับทิม
ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่อัดแน่นไปด้วยวิตามินเอ ซี อีสูง ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านการเสริมสร้างผิวสวย กระจ่างใส ทั้งยังช่วยการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี ใครอยากมีผิวขาวสวย หัวใจแข็งแรง แนะนำให้ลองดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้วรับรองผิวพรรณสวยขึ้นแน่นอน หรืออาจใช้มาสก์สำเร็จที่สกัดมาจากทับทิมก็ได้
6. มะเขือเทศ
จะช่วยชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ และยังช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทานเล่น ๆ หรือปั่นเป็นน้ำผล ไม้ทานก็ดีต่อสุขภาพผิวเช่นกัน หรือมาสก์ โดยการผสมน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลงและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
7. มะนาว
เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีที่ว่านี้ก็จะช่วยให้สาว ๆ นั้นมีผิวพรรณที่นุ่มเนียนสดใส และเปล่งปลั่งด้วย โดยผสมน้ำมะนาวครึ่งลูกและดินสอพอง 4-5 เม็ด นำดินสอพองและมะนาวมาผสมให้เข้ากัน จะได้ครีมที่เหนียวข้น พอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีก่อนเข้านอน และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละประมาณ 3 – 4 ครั้ง จะทำให้หน้าใสมากขึ้น หรือผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมมาคนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะทำให้ใบหน้าอ่อนวัย ใส่เปล่งปลั่งค่ะ
8. ฝรั่ง
มีวิตามินซีมาก รวมถึงมีวิตามินเอและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ช่วยขับสารพิษจนทำให้ผิวมีสุขภาพดีไร้ริ้วรอยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยนำเนื้อฝรั่งมาบดให้ละเอียด แล้วพอกหน้า จะช่วยป้องกันผิวเหี่ยวย่น วิธีแก้จุดสัมผัสที่หยาบกร้าน ถ้าคุณมีผิวที่กร้านจากการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลาทำให้ผิวหนังแห้งสากได้
9. แตงโม
มีทั้งแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิดที่มีอยู่มากมาย ช่วยบำรุงผิวพรรณของสาว ๆ ช่วงล้างไต และของเสียขับปัสสาวะในร่างกาย สามารถมาสก์ได้ โดยนำแตงโมมาฝานให้เป็นชิ้นบาง ๆ จากส่วนที่แดงที่สุด จากนั้นให้นำชิ้นแตงโมเหล่านั้นมาแปะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
10. อะโวคาโด
เพราะในผลไม้ชนิดนี้มีวิตามิน เอ ซี อี ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และสารแอนตี้ออกซิเดนท์อย่าง วิตามิน B1 B2 B6 โดยนำอะโวคาโดสดครึ่งลูกผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา แล้วมาสก์หน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา จะทำให้ผิวหน้ากระชับตึง เฟิร์มขึ้นค่ะ
เป็นคนดีนะคะหนู 55555555
ตอบลบดูดี มีสาระ
ตอบลบสาระๆๆๆๆๆแน 555555
ตอบลบดีคะ
ตอบลบแลดูมีสาระ55555
ตอบลบสาระสุดดดดดด
ตอบลบตรวจแล้วค่ะ
ตอบลบ